6 เทคโนโลยีสุดไฮเทค ที่น่าจะมากับรถยนต์แห่งอนาคต

6 เทคโนโลยีสุดไฮเทค ที่น่าจะมากับรถยนต์แห่งอนาคต

            เทคโนโลยีภายในรถก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ ภายในอนาคตเร็วๆนี้ รถยนต์ของเราคงจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตในการทำงาน เพื่อให้ใช้งานได้หลายหลายยิ่งขึ้นไปอีก และ 6 สิ่งต้องไปนี้ คือเทคโนโลยีใหม่สุดล้ำ ที่คาดว่าจะถูกพัฒนามาใช้กับรถยนต์แห่งโลกอนาคต

1. เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในการสตาร์ทรถยนต์

            รถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้น เริ่มเปลี่ยนมาใช้ระบบ Keyless มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระบบดังกล่าวทำให้รถยนต์ใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงแค่กดปุ่มในการสตาร์ทเครื่องยนต์ แทนการใช้กุญแจในแบบเดิมๆสำหรับบิดสตาร์ท ซึ่งหลักการทำงานของระบบ Keyless ก็คือ รถยนต์จะตรวจสอบก่อนว่ามีรีโมทอยู่ใกล้กับรถยนต์หรือไม่ ก่อนจะปลดล็อคระบบเพื่อให้เจ้าของรีโมทสามารถใช้งานรถได้ตามแต่ละฟังก์ชั่น

อย่างไรก็ดี ระบบ Keyless นี้ก็มีช่องโหว่อยู่บ้าง เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดการโจรกรรมที่มากขึ้น โดยอาศัยการดักจับคลื่นความถี่ของรีโมทที่เชื่อมต่อมายังรถยนต์

            บริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง Hyundai ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อใช้งานสำหรับปลดล็อคฟังก์ชั่นต่างๆในรถยนต์ เป็นระบบเดียวกับที่บริษัทดังอย่าง Tesla ใช้งานอยู่ ระบบดังกล่าวนี้เป็นแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อไปยังรถยนต์ด้วย NFC โดยเมื่อรถยนต์เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้วก็จะสามารถใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆได้เช่นเดียวกับ Keyless แต่ปลอดภัยยิ่งกว่า เพราะการดักจับสัญญาณ NFC นั้นจะต้องผ่านความปลอดภัยอีกขั้นภายในตัวสมาร์ทโฟนแบบ Biometric

.

2. ระบบตรวจสอบสมรรถนะของผู้ขับขี่

            อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามพื้นที่ต่างๆทั่วโลกนั้น ส่วนใหญ่สาเหตุมักจะมาจากสมรรถภาพในการขับขี่ที่ลดลงในขณะขับรถของผู้ขับที่ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย โรคประจำตัว หรือจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีผลให้สมรรถภาพในการขับขี่นั้นลดลง และอาจถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้ แต่เทคโนโลยีของยานยนต์ที่ล้ำขึ้นไปอีก จะสามารถตรวจสอบความเมื่อยล้าของคนขับเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ

            ค่ายรถอย่าง Volvo และ GM ได้นำเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบสมรรถนะของผู้ขับขี่มาใช้งาน มีการติดตั้งกล้องภายในห้องโดยสารเพื่อคอยตรวจสอบปฏิกิริยาของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะการมองเห็นผ่านการตรวจจับตาดำ หากพบว่าการมองเห็นของผู้ขับชี่ลดลงหรือมีอาการหลับตาเป็นเวลานาน ระบบจะทำการเตือน และหากว่าเตือนแล้วยังไม่มีการตอบสนองกลับ ระบบจะทำการหยุดรถยนต์โดยอัตโนมัติแล้วดับเครื่องลง ก่อนจะประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

.

3. เทคโนโลยี AR บนกระจกหน้ารถยนต์

            การนำระบบ AR มาช่วยในการขับขี่ ซึ่งจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการขับขี่ที่มากขึ้น เนื่องด้วยว่าระบบ AR นี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องละสายตาจากกระจกหน้ารถเพื่อไปดูอุปกรณ์อื่นๆ เช่น อุปกรณ์นำทาง GPS โดยลูกศรเครื่องหมายนำทางจะปรากฎอยู่บนกระจกบานหน้าของรถแทน พร้อมด้วยรายละเอียดอื่นๆ

.

4. ระบบรถยนต์ไร้คนขับที่อัจฉริยะยิ่งขึ้น

            ระบบรถยนต์ไร้คนขับ (Driverless) เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในช่วงนี้ แต่ก็ยังพบความไม่ถูกต้องของระบบอยู่บ้าง ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อย่าง Manga International กำลังพัฒนาระบบที่มีชื่อว่า Icon Radar ซึ่งจะเป็นเซ็นเซอร์อัจฉริยะ สามารถแยกวัตถุ 2 อย่างที่มีความเหมือนกัน แต่รายละเอียดแตกต่างกัน เช่น คนที่กำลังเดินข้ามถนน กับคนที่กำลังยืนรอรถอยู่ริมถนน โดยสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานแบบ Driverless

.

5. หน้าขอสัมผัสที่ขนาดใหญ่ขึ้น

            สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ต้องการหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ สามารถควบคุมได้ทั้งการทำงานของเครื่องปรับอากาศ วิทยุ สื่อบันเทิงต่างๆ รวมไปถึงการแสดงผลการใช้งานต่างๆในรถยนต์ เช่น อัตราการใช้เชื้อเพลิง หรือประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ แต่อย่างไรก็ตามหน้าจอเหล่านี้ที่มีการใช้งานอยู่มักจะมีขนาดไม่เกิน 7 นิ้ว แม้การใช้งานจะดูพอดีกับการใช้งาน แต่การสัมผัสเพื่อสั่งการต่างๆบนหน้าจอขนาดเล็ก ยังถือเป็นเรื่องยาก

            Tesla ได้นำเสนอไอเดียใหม่ในการใช้หน้าจอแสดงผลสัมผัสที่มีขนาดใหญ่ถึง 14 นิ้ว ซึ่งใกล้เคียงกับทีวีขนาดเล็ก ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน สัมผัสได้ง่ายกว่า แต่ก็ยังมีอีกหลายฝ่ายที่กลัวว่าการสัมผัสหน้าจอระหว่างขับรถ จะทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย ตรงนี้เองทำให้มีการเพิ่มระบบผู้ช่วยเข้ามาอย่าง Amazon Alexa, Google Assistant, Apple Siri ช่วยให้การใช้งานหน้าจอนั้นมีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

.

6. ระบบอื่นๆ ในการช่วยเหลือผู้ขับชี่

            แม้ว่าระบบรถยนต์ไร้คนขับจะสามารถช่วยให้ขับขี่ได้ง่าย สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น แต่ระบบไร้คนขับก็ยังต้องทำงานร่วมกับระบบช่วยเหลืออื่นๆ เช่น ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลน ระบบตรวจจับวัตถุที่เข้าใกล้ เป็นต้น ซึ่งค่ายรถยนต์หลายๆบริษัทได้พยายามหาระบบช่วยเหลือการขับขี่เพื่อเข้ามาเสริมสมรรถนะทั้งในด้านการขับขี่และความปลอดภัย โดยผู้ผลิตรถยนต์กำลังพยายามที่จะทำให้ระบบเบรคฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ทุกคันภายในกันยายน 2022

ข้อมูล : https://www.marketingoops.com/

 2570
ผู้เข้าชม

gps

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์